ทฤษฎี “อินเทอร์เน็ตตายแล้ว” กับการเมืองยุค AI

โดย Mimi Mihăilescu | แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์บอม ชนัฐ เกิดประดับ

จาก “ทฤษฎีสมคบคิด” สู่ “แว่นขยายการเมืองยุคดิจิทัล”

ใครจะคิดว่า “Dead Internet Theory” ที่เคยถูกเย้ยหยันว่าเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของคนโลกแตก

จะกลับมาโด่งดังอีกครั้งในฐานะ “กรอบคิด” ที่อธิบายการเมืองยุคปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้แม่นยำจนน่าขนลุก

Mimi Mihăilescu นักคิดผู้จุดประกายแนวทางนี้ ตั้งคำถามสำคัญว่า —

เรากำลัง **ประเมินพลังของ AI สูงเกินไป**

และในเวลาเดียวกัน **ประเมินความเต็มใจของมนุษย์ที่จะปล่อยให้เทคโนโลยีเข้ามาครอบงำชีวิต** ต่ำเกินไปหรือเปล่า?


## โลกออนไลน์ที่ส่งเสียงกันอื้ออึง…แต่ไม่แน่ใจว่าเสียงนั้น “ใช่คน” พูดอยู่ไหม

ในยุคที่เสียงพูดคุยกันอื้ออึงในโลกโซเชียลราวกับตลาดสดทั้งวันทั้งคืน

เรากลับไม่แน่ใจเลยว่าเสียงที่ได้ยินนั้น…มาจาก “คนจริง” หรือ “เครื่องจักรจำลองมนุษย์”

AI กำลังค่อย ๆ กำหนด “ความจริงทางการเมือง”

จากมีมทางการเมืองที่มันสร้างขึ้นเอง

ไปจนถึงฟีดข่าวที่ถูกอัลกอริทึมออกแบบให้เราคิดในทางหนึ่งทางใด

สิ่งที่เคยเป็นพื้นที่แห่ง “การมีส่วนร่วม”

กำลังกลายเป็น **“เครื่องมือแห่งการชี้นำ”** ได้อย่างแนบเนียน

## จุดเริ่มต้นของทฤษฎี “อินเทอร์เน็ตตายแล้ว”

ปลายยุค 2010 บนเว็บบอร์ดชายขอบกลุ่มหนึ่ง มีคนเขียนว่า

“อินเทอร์เน็ตได้ตายไปแล้วตั้งแต่ปี 2016”

เพราะตั้งแต่นั้นมา คอนเทนต์ส่วนใหญ่ถูกผลิตโดยเครื่องจักร

ผลการค้นหาเต็มไปด้วยเว็บไซต์ที่สร้างเพื่อ “หลอกอัลกอริทึม” มากกว่าจะให้คนอ่านจริง ๆ

แม้คำกล่าวนี้จะดูสุดโต่ง แต่ใจความกลับแม่นยำราวคำทำนาย

เพราะทุกวันนี้ “พื้นที่สาธารณะดิจิทัล” กลายเป็นระบบอัตโนมัติ

ที่จำลองเสียงประชาชนได้อย่างแนบเนียน — แต่ไร้จิตวิญญาณของมนุษย์

ในศึก Brexit ปี 2016 กว่าครึ่งของการสื่อสารทางการเมืองในโลกออนไลน์

ถูกขับเคลื่อนโดย “บอต” ที่ไม่ใช่มนุษย์

และแม้ในปี 2024 Google ยังต้องยอมรับว่า

ผลการค้นหาของตน “เต็มไปด้วยเว็บไซต์ที่สร้างเพื่อเครื่องมือค้นหา มากกว่ามนุษย์” จริง ๆ

## เราถูกชักจูงจริง…หรือแค่รู้สึกเหมือนถูกชักจูง?

AI ทำให้เราคิดอย่างไร? หรือมันแค่ “ทำให้เราคิดว่ามันมีอิทธิพล”?

ระหว่างเลือกตั้งสหรัฐปี 2016 หน่วยงานของรัสเซียสร้างบัญชีปลอมหลายพันบัญชี

ปลอมตัวเป็นชาวอเมริกัน ทั้งฝั่ง Black Lives Matter และ Blue Lives Matter

จนกลายเป็น “วงจรแห่งการจัดการความจริง”

มนุษย์กับบอตช่วยกันสร้างโลกคู่ขนานทางการเมืองขึ้นมาอย่างแนบเนียน

## การเมืองสังเคราะห์: เมื่อเครื่องจักรสร้างโลกการเมืองขึ้นมาใหม่

ปี 2024 คือสนามทดลองจริงของ “การเมืองสังเคราะห์”

AI สร้างคำแถลงปลอม ภาพข่าวเทียม และบทสัมภาษณ์ลวง

แพลตฟอร์มอย่าง X, TikTok, Telegram เต็มไปด้วยคอนเทนต์ปลอมในช่วงเลือกตั้ง

และสิ่งที่น่ากลัวคือ…มันถูก “ดันให้เป็นไวรัล” โดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเอง

## ความตื่นตระหนกที่เลือกข้าง

แต่สุดท้าย…วันสิ้นโลกของการเลือกตั้งยุค AI ก็ไม่เคยได้เกิดขึ้นจริง

แม้จะมีหลักฐานว่า “ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง” ในปี 2016

แต่งานวิจัยกลับพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ

Meta เองยังบอกว่า “ผลกระทบของข่าวปลอมจาก AI มีน้อยมาก”

สรุปแล้ว เราอาจกำลัง “ตกหลุม Deepfake เกี่ยวกับ Deepfake” —

กลัวภาพลวงตา มากกว่าผลจริงที่พิสูจน์ได้

## อันตรายที่แท้จริง: ไม่ใช่ “การชักจูง” แต่คือ “การบั่นทอนศรัทธา”

ภัยของ AI ไม่ได้อยู่ที่มันทำให้เราคิดผิด

แต่อยู่ที่มันทำให้เราสงสัย “ว่ามีอะไรจริงที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง”

เมื่อคนเริ่มไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น

หรือปัดข้อเท็จจริงออกไปเพียงเพราะ “คิดว่ามันปลอม”

ประชาธิปไตยก็เสียศูนย์

นี่คือสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า **Liar’s Dividend** —

ผลกำไรของคนโกหก ที่ได้มาจากความไม่เชื่อของเราเอง

## เมื่อ Habermas คาดไม่ถึง

เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส เคยบอกว่า “ประชาธิปไตยเกิดจากการถกเถียงกันอย่างมีเหตุมีผล บนพื้นฐานของความจริงร่วม”

แต่ในโลกที่เราไม่แน่ใจว่า “คู่สนทนาของเราเป็นคนหรือบอต”

แนวคิดของ “พื้นที่สาธารณะ” ก็แทบจะพังลงทั้งระบบ

โพสต์ที่ AI สร้าง อาจถูกบอตอีกฝั่งมากดไลก์และคอมเมนต์

จนกลายเป็น “เสียงข้างมากจำลอง”

นี่คือการปกครองแบบใหม่ที่เรียกว่า **Algorithmic Authoritarianism**

หรือ “อำนาจนิยมผ่านการควบคุมความสนใจ”

บางที… Dead Internet Theory อาจไม่ได้บอกว่า AI ฆ่าประชาธิปไตย

แต่มันอาจกำลังแค่กระซิบความจริงที่ขมขื่นกว่า —

ว่า “ประชาธิปไตยในอุดมคติ” อาจไม่เคยมีชีวิตอยู่จริงเลย

## จะทวงคืนโลกดิจิทัลได้อย่างไร

ทุกวันนี้ เราใช้วิธีรับมือข่าวปลอมแบบ “แก้ปลายเหตุ”

ทั้งการติดวอเตอร์มาร์ก การทำระบบตรวจสอบอัตโนมัติ

นั้นเปรียบได้เหมือนกับความพยายามปิดรูรั่วบนเรือที่ถูกออกแบบมาให้รั่วเอง

เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี

แต่อยู่ที่ “ตรรกะของแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์”

ที่ให้คุณค่ากับยอดวิว มากกว่าความเข้าใจ

ตราบใดที่ “การแบ่งขั้ว” สร้างรายได้

ความแตกแยกก็ยังถูกโปรโมตให้สร้างเม็ดเงินต่อไป ในนามของ “Engagement”

## บทเรียนสุดท้าย: อินเทอร์เน็ตยังไม่ตาย…แต่ความจริงใกล้ตาย

ความท้าทายของประชาธิปไตยยุคนี้

ไม่ใช่การแยกของจริงกับของปลอม

แต่คือการสร้าง **สถาบันกำกับดูแลข้อมูล**

ที่ทำให้โลกดิจิทัลกลับมาเป็นพื้นที่เพื่อ “การเข้าใจ” มากกว่า “การปลุกปั่นอารมณ์”

หากเราไม่กล้าคิดถึง “อธิปไตยทางข้อมูล”

หรือยังไม่กล้าปฏิรูปแพลตฟอร์มให้เป็น “สาธารณูปโภคของสังคม”

เราก็เสี่ยงที่จะได้สิ่งที่ Dead Internet Theory กลัวที่สุด —

**ประชาธิปไตยจำลอง** ที่ดูเหมือนมีชีวิต แต่ข้างในกลวงเปล่า

อินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ตาย…

แต่ “ความสามารถของมนุษย์ในการปกครองมันอย่างมีสติ”

กำลังป่วยหนักจนต้องรีบกู้ชีพ

## 💬มุมมองของ อาจารย์บอม

ในมุมของ **การสื่อสารทางการเมืองยุคใหม่**

ทฤษฎี “อินเทอร์เน็ตตายแล้ว” ไม่ได้เตือนให้เรากลัว AI

แต่มันเตือนให้เรารู้ว่า “ประชาธิปไตยจะอยู่ไม่ได้ หากเราไม่เข้าใจกลไกของอัลกอริทึม”

นวัตกรรมการสื่อสารที่แท้จริงในศตวรรษนี้

จึงไม่ใช่การสร้างคอนเทนต์ให้ไวกว่า AI

แต่คือการ “สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา” ให้ผู้คนรู้เท่าทันว่า

สิ่งที่เห็น ไม่เท่ากับสิ่งที่เป็น

และ “ความจริง” ต้องถูกแยกออกจาก “สิ่งที่ถูกโปรโมตให้เชื่อ”

ในโลกที่ทุกโพสต์อาจถูกสร้างโดยเครื่องจักร

ภารกิจของมนุษย์ผู้สื่อสาร…

คือทำให้ **เสียงของความจริง** ดังพอจะไม่ถูกอัลกอริทึมกลืนหายไป

#อาจารย์บอม #อาจารย์บอมมองโลก #การเมืองล่าสุด #การเมืองAI #การสื่อสารทางการเมือง #นวัตกรรมสื่อสาร

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

About Ajbomb

นักหาเรื่อง นักเล่าเรื่อง นักเขียน นักแปล รักการสอน รักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ รักษ์โลก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น