“ประชาธิปไตยในยุคที่ อำนาจไม่ได้อยู่ในมือประชาชน…แต่อยู่ในอัลกอริทึม
✍️ โดย อาจารย์บอม ชนัฐ เกิดประดับ

ในยุคที่ทุกคนถือโทรศัพท์แทนสมุดพก อัปสตอรี่แทนออกเสียงเลือกตั้ง และเช็กฟีดก่อนเช็กข้อเท็จจริง…
เราคงต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยยุคดิจิทัล” ไม่ได้ถูกกำหนดโดยประชาชนอีกต่อไป — แต่มันอยู่ในมือของ อัลกอริทึม ที่ไม่มีหัวใจ แต่กลับรู้จัก “ใจเรา” ดีกว่าคู่ชีวิตเสียอีก
🧠 จาก “Fake News” สู่ “Fake Mindset”
เมื่อสิบปีก่อน คำว่า “ข่าวปลอม หรือ Fake News ถูกใช้เพื่อเตือนให้ระวังข้อมูลเท็จ
แต่ทุกวันนี้ ข่าวปลอมไม่ใช่แค่เรื่องที่ “ไม่จริง” — แต่กลายเป็นเครื่องมือสร้าง “ความจริงอีกชุดหนึ่ง”
ที่ถูกจัดเรียงไว้ให้เราคล้อยตามอย่างแนบเนียน จนสุดท้ายเรากลายเป็นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า สิ่งที่เราคิด…มันเป็น “ความคิดเห็นของเรา” หรือเป็น “ผลผลิตจากระบบแนะนำเนื้อหา (Recommendation System)” ของอัลกอรึทึ่ม กันแน่
กรณีการเลือกตั้งของ โรมาเนีย ในปี 2024 คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจน — ผู้สมัครที่ไม่เคยปรากฏตัวหน้าจอทีวีสักครั้งเดียว แต่กลับกลายเป็นดาว TikTok ที่คนทั้งประเทศรู้จัก และสามารถชนะการเลือกตั้งรอบแรกไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อถูกขุดลึกลงไป ก็พบว่ามี “บอต” และ “โทรลล์” (นักรบรับจ้างทางไซเบอร์) จำนวนมากช่วยกันผลักช่วกันดันกระแสอย่างเป็นระบบ แต่สุดท้าย ผลเลือกตั้งถูก “เพิกถอน” เพราะพบความผิดปกติในการสื่อสารบนแพลตฟอร์ม
นี่จึงไม่ใช่เรื่องของ “ข่าวปลอม” อีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องของ “ประชาธิปไตยปลอม” —
เมื่อเสียงของคนจริงถูกกลืนหายไปในฝูงบอตหรืออัลกอรึทึ่ม ที่ปราศจากชีวิต
📱 โซเชียลมีเดีย: พื้นที่แห่งความสุดโต่งที่ขายดี
แพลตฟอร์มในวันนี้ไม่ได้ขาย “ข้อมูล”
แต่มันขาย “เวลา” ของเราให้กับคนที่อยากซื้อเพื่อให้มีอิทธิพลเหนือความคิดเรา
อัลกอริทึมทำหน้าที่คล้ายเจ้าของร้านที่รู้ว่าเราชอบเมนูไหน —
มันจะเสิร์ฟสิ่งนั้นให้ซ้ำ ๆ ให้เราจนหลงคิดว่า “ทั้งร้านนี้มีแต่สิ่งที่เราชอบ”
สุดท้าย คนที่ชอบของเผ็ดก็อยู่กับคนชอบของเผ็ด คนที่ชอบของหวานก็อยู่ในมุมของหวาน
ไม่มีใครได้ชิมรสชาติอื่นใดอีกเลย
นั่นแหละ… “Echo Chamber” หรือ “ห้องเสียงสะท้อน”
ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนทุกคนเห็นเหมือนเรา — ทั้งที่โลกจริงอาจคิดต่างโดยสิ้นเชิง
🏛️ สหภาพยุโรป: เมื่อรัฐบาลเริ่ม “กล้าจัดระเบียบอัลกอริทึม”
ยุโรปมองเห็นภัยนี้เร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศ พวกเขาจึงออก Digital Services Act (DSA) — กฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง X, Facebook, TikTok หรือ Google ต้องสร้างความ “โปร่งใสให้กับผู้ใช้”
โดย ผู้ใช้สามารถเลือก “ปิดโฆษณาเฉพาะบุคคล” หรือแม้แต่ “ดูได้ว่าอัลกอริทึมทำงานอย่างไร”
Renate Nikolay เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมาธิการยุโรปไว้กล่าวไว้ดีมากว่า
“เราไม่ได้ต่อต้านแพลตฟอร์ม แต่ต้องการร่วมกันเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้ส่งเสริมประชาธิปไตย…ไม่ใช่บั่นทอนมัน”
คำพูดนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่สะเทือนทั้งโลกเทคโนโลยี
เพราะมันคือการประกาศว่า “ยุคของ Big Tech ที่อยู่นอกการควบคุม ได้จบลงแล้ว”
🎓 ฟินแลนด์: ปลูกภูมิคุ้มกันข่าวปลอมตั้งแต่อนุบาล
ในขณะที่หลายประเทศยังถกเถียงกันว่า “จะเซ็นเซอร์หรือไม่เซ็นเซอร์”
ฟินแลนด์กลับเริ่มต้นด้วยการ “สอนให้คนคิดเป็น”
เด็กชาวฟินแลนด์ถูกสอนให้วิเคราะห์สื่อ ตั้งแต่ระดับอนุบาล
ไม่ใช่แค่รู้ว่าอะไรจริงหรือปลอม แต่รู้ว่า “ทำไมใครบางคนถึงอยากให้เราคิดแบบนั้น”
ผลคือ ฟินแลนด์กลายเป็นประเทศที่ประชาชนมีภูมิคุ้มกันต่อข่าวปลอมสูงที่สุดในยุโรป
นี่แสดงให้เห็นว่า กฎหมายอาจช่วย “จำกัดอำนาจ” ของแพลตฟอร์มได้
แต่ “การศึกษา” ต่างหากที่ช่วย “ขยายอำนาจ” ให้กับประชาชน
⚖️ มุมมองของอาจารย์บอม: เมื่อ “การสื่อสารทางการเมือง” กลายเป็นสงครามของอัลกอริทึม
ในทางทฤษฎีการสื่อสารทางการเมือง เราเคยเชื่อว่า “พื้นที่สาธารณะ” (Public Sphere) คือหัวใจของประชาธิปไตย —
ที่ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างเสมอภาค
แต่ในยุคแพลตฟอร์มดิจิทัล “พื้นที่สาธารณะ” นั้นไม่ได้อยู่ในลานหน้าศาลากลางจังหวัดอีกต่อไป
แต่อยู่บน “หน้าจอ” ที่มีผู้เฝ้ามองอยู่เบื้องหลัง…นั่นคือ “AI” ที่เลือกให้เราดูเฉพาะสิ่งที่มันอยากให้เราเห็น
เมื่อการไหลเวียนของข้อมูลถูกควบคุมโดยตรรกะเชิงพาณิชย์ การสื่อสารทางการเมืองก็กลายเป็น “สงครามของอัลกอริทึม” นักการเมืองแข่งกันซื้อโฆษณา นักรณรงค์แข่งสร้างกระแส และประชาชน…แข่งกันตะโกนในห้องที่ไม่มีใครได้ยินกันจริง
ประชาธิปไตยจะอยู่รอดได้ ก็เมื่อเราทุกคน “ไม่ยอมให้เครื่องจักรคิดแทน”
และกลับมาฟัง “เสียงของกันและกัน” อีกครั้ง —
ไม่ใช่เสียงจากฟีดหน้าจอ แต่เสียงจาก “ใจ”
ที่มา: DW
#อาจารย์บอม #อาจารย์บอมชวนคิด #อาจารย์บอมมองโลก #การเมืองดิจิทัล #สื่อกับประชาธิปไตย #การสื่อสารทางการเมือง












